อนุทินที่ 1
1. ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราเองต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไรคำตอบ เพราะ กฎหมายมีไว้บังคับไม่ให้คนกระทำความผิด กระทำสิ่งที่ไม่ดีต่าง เป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อย ของคนในสังคม เพื่อดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมและความเสมอภาคสำหรับทุกๆคน กฎหมายมีไว้เพื่อเป็นกฎเกณฑ์หนึ่งที่ควบคุมนุษย์ทุกๆคนที่เกิดมาให้ทำตามกฎระเบียบเพื่อบ้านเมืองจะไม่มีความวุ่นวายเเละมีความสุขแต่ความสุข หากไม่มีกฎหมาย จะเป็นอย่างไร บ้านเมืองคงมีปัญหาการวุ่นวาย มนุษย์ต่างคนต่างจะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด คนที่มีโอกาสมากกว่าก็จะโดนเอาเปรียบ โดยผู้น้อยก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไร ความสงบสุขก็จะหายไป เพราะทุกอย่างจะล่มสลายไปการขาดผู้นำที่ดีย่อมยากต่อการอยู่รอด ต่างคนต่างไม่เกรงกลัวอะไร ทุกอย่างจะเป็นเมืองเถื่อน
2. ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หรือหากไม่มีกฎหมายและจะเป็นย่างไร
คำตอบ อยู่ไม่ได้ มีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้น ทุกวันมีการแย่งชิง อำนาจความเป็นใหญ่เกิดขึ้น จะมีแต่ผู้ที่มีอำนาจสูงจะอยู่ได้เปรียบกว่าผู้อื่น คงมีโจรเยาะ มีปัญหา อาชญากรรม มีปัญหาด้านการศึกษา มีคนว่างงานที่มากขึ้น ดังนั้น จะมีแต่คนจน ไม่มีอาชีพที่มั่นคง มนุษย์ขาดศีลธรรม ต้องแย่งชิงกัน ฆ่ากันตาย เพื่อความอยู่รอดของแต่ละวัน และดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างไม่มีความสุข
3. ท่านมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นของกฎหมายต่อไปนี้
คำตอบ ก. ความหมาย ข้อบังคับกฎเกณฑ์ เพื่อไม่ให้มนุษย์ กระทำความผิด ถ้ามีการกระทำความผิด ก็จะมีโทษทางอาญา หรือทางแพ่ง สามารถเอาผู้ที่กระทำความผิด ไปรับโทษ เพื่อตักเตือน ไม่ให้กระทำความผิดครั้งต่อไป ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย กฎหมายนั้นต้องอยู่ในรูปของคำสั่ง คำบัญชา อันเป็นการแสดงออกซึ่งความประสงค์ของผู้มีอำนาจในลักษณะเป็นการบังคับ เพื่อให้บุคคลอีกคนหนึ่งปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติ กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ เพื่อให้กฎหมายเกิดความศักดิ์สิทธิ์ และประชาชนเคารพเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงต้องมีสภาพบังคับ (SANCTION) สภาพบังคับของกฎหมายนั้นแบ่งเป็นสภาพบังคับในทางอาญาและทางแพ่ง
สภาพบังคับให้ทางอาญาโดยทั่วไปแล้ว คล้ายคลึงกัน คือ หากเป็นโทษสูงสุดจะใช้วิธีประหารชีวิต ซึ่งปางประเทศให้วิธีการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า แขวนคอ แต่ประเทศไทยในปัจจุบันให้นำไปฉีดยาให้ตายใช้วิธีประหารด้วยวิธีอื่นไม่ได้ นอกจากนั้นก็เป็นการจำคุก เป็นการเอาตัวนักโทษควบคุมในเรือนจำ ซึ่งต่างกับกักขังเป็นการเอาตัวไปกักไว้ที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ เช่นที่อยู่ของผู้นั้นเอง หรือสถานที่อื่นที่ผู้ต้องกักขังมีสิทธิดีกว่าผู้ต้องจำคุก สำหรับกฎหมายไทยโทษกักขังจะใช้เฉพาะผู้ซึ่งกระทำผิดครั้งแรก และความผิดนั้นมีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน ศาลจึงจะลงโทษกักขังแทนจำคุกได้ ส่วนการปรับคือ ให้ชำระเงินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในคำพิพากษาต่อศาล สภาพบังคับให้ทางอาญาโดยทั่วไปแล้ว คล้ายคลึงกัน คือ หากเป็นโทษสูงสุดจะใช้วิธีประหารชีวิต ซึ่งปางประเทศให้วิธีการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า แขวนคอ แต่ประเทศไทยในปัจจุบันให้นำไปฉีดยาให้ตายใช้วิธีประหารด้วยวิธีอื่นไม่ได้ นอกจากนั้นก็เป็นการจำคุก เป็นการเอาตัวนักโทษควบคุมในเรือนจำ ซึ่งต่างกับกักขังเป็นการเอาตัวไปกักไว้ที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ เช่นที่อยู่ของผู้นั้นเอง หรือสถานที่อื่นที่ผู้ต้องกักขังมีสิทธิดีกว่าผู้ต้องจำคุก สำหรับกฎหมายไทยโทษกักขังจะใช้เฉพาะผู้ซึ่งกระทำผิดครั้งแรก และความผิดนั้นมีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน ศาลจึงจะลงโทษกักขังแทนจำคุกได้ ส่วนการปรับคือ ให้ชำระเงินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในคำพิพากษาต่อศาล การริบทรัพย์สิน คือ การริบเอาทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดิน เช่น ปืนที่เตรียมไว้ยิงคน หรือเงินที่ไปปล้นเขามา นอกจากการริบแล้วอาจสั่งทำลายทรัพย์สินนั้นเสียก็ได้ สภาพบังคับในทางแพ่งก็ได้แก่ การกำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายตกเป็นโมฆะ ตัวอย่างเช่น การซื้อขายที่ดินโดยมิได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานตกเป็นโมฆะ การทำนิติกรรมซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายก็ดี เป็นการพ้นวิสัยก็ดี เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ดี ตกเป็นโมฆะ การให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่งจากการไม่ชำระหนี้ การให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกละเมิด ค. ที่มาของกฎหมาย 1.กฎหมายลายลักษณ์อักษร ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร เป็นระบบที่สืบทอดมาจากกฎหมายโรมัน ซึ่งให้ความสำคัญกับตัวบทกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใช้โดยถูกต้องตามกระบวนการบัญญัติกฎหมาย ดังนั้นที่มาประการสำคัญของระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ก็คือกฎหมายที่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งอาจมีหลายลักษณะด้วยกัน เช่น รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง 2.จารีตประเพณี ในบางครั้งการบัญญัติกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร จะให้ครอบคลุมทุกเรื่องเป็นไปได้ยาก จึงต้องมีการนำเอาจารีตประเพณี มาบัญญัติใช้เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรด้วย เช่น การชกมวยบนเวที ถ้าเป็นไปอย่างถูกต้องตามกติกา ถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้จะบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็ไม่มีความผิด หรือแพทย์ที่ตัดแขนตัดขาคนไข้โดยที่คนไข้ยินยอมก็ไม่มีความผิด เป็นต้น เท่าที่ผ่านมายังไม่มีการฟ้องร้องคดีเรื่องเหล่านี้เลย ซึ่งคงจะเป็นเพราะจารีตประเพณีที่รู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นเสมือนกฎหมาย 3.หลักกฎหมายทั่วไป ในบางครั้งถึงแม้จะมีกฎหมายลายลักษณ์อักษร และกฎหมายจารีตประเพณี มาใช้พิจารณาตัดสินความแล้วก็ตาม แต่ก็อาจไม่เพียงพอครอบคลุมได้ทุกเรื่อง จึงต้องมีการนำเอาหลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งประเทศอื่น ๆ ที่มีความก้าวหน้าทางกฎหมาย ได้ยอมรับกฎหมายนั้นแล้ว มาปรับใช้ในการพิจารณาตัดสินคดีความด้วย เช่น หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิ์ดีกว่าผู้รับโอน โจทย์พิสูจน์ไม่ได้ต้องปล่อยตัวจำเลย คดีอย่างเดียวกันต้องพิพากษาตัดสิน
4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ว่าทุกประเทศจึงจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย
คำตอบ เพื่อเอาไว้ลงโทษผู้ที่กระทำความผิด ข้อบังคับที่ใช้ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ในสังคม กฎหมาย มีลักษณะเป็นคำสั่ง ข้อห้าม ที่มาจากผู้มีอำนาจสูงสุดในสังคมใช้บังคับได้ทั่วไป ใครฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษหรือสภาพบังคับอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเสียค่าปรับหรือจำคุก
5. สภาพบังคับทางกฎหมาย ท่านมีความเข้าใจ ว่า อย่างไร จงอธิบาย
คำตอบ 1. สภาพบังคับตามกฎหมาย
- สภาพบังคับตามกฎหมายเอกชน ตามกฎหมายเอกชนโดยทั่วไปแล้วบุคคลย่อมอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายเอกชนหรือการบังคับให้เป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายเอกชน เอกชนไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้การเป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่โดยอำนาจของตนเอง ด้วยเหตุนี้ เอกชนจึงต้องนำคดีไปฟ้องต่อศาลเพื่อให้องค์กรของรัฐทำหน้าที่ในการบังคับให้เป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายเอกชน
- สภาพบังคับทางปกครอง โดยที่ฝ่ายปกครองดำเนินภาระหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้น การที่ฝ่ายปกครองออกคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง หากผู้มีหน้าที่ตามคำสั่งทางปกครองไม่ดำเนินการดังกล่าว ฝ่ายปกครองจึงมีเอกสิทธิ์ที่จะบังคับการให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองได้เอง โดยไม่ต้องไปอาศัยบารมีของศาล รายละเอียดดูแนวคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่ 113/2545
2. ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
- พนักงานคดีปกครองเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลปกครองที่สังกัดสำนักงานศาลปกครอง ทำหน้าที่ช่วยเหลือตุลาการศาลปกครองในการรวบรวมข้อเท็จจริงเบื้องต้น ตรวจรับคำฟ้อง คำให้การ เพื่อเสนอความเห็นเบื้องต้นต่อตุลาการผู้รับผิดชอบสำนวน รวมทั้งมีหน้าที่ช่วยเหลือตุลาการตามที่ได้รับมอบหมายจากตุลาการในการพิจารณาคดีปกครอง
- ตุลาการเจ้าของสำนวน องค์คณะของตุลาการในศาลปกครองชั้นต้นมี 3 คน เมื่อมีการส่งสำนวนให้องค์คณะใดองค์คณะหนึ่ง ให้ตุลาการหัวหน้าคณะแต่งตั้งให้ตุลาการคนใดคนหนึ่งเป็นตุลาการเจ้าของสำนวนเพื่อเป็นผู้ดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริงจากคำฟ้อง คำชี้แจงของคู่กรณี และรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยให้พนักงานคดีปกครองเป็นผู้ช่วยดำเนินการตามที่ตุลาการเจ้าของสำนวนมอบหมาย
- ผู้แถลงคดีปกครอง โดยปกติแล้วจะตั้งตุลาการในศาลปกครองเป็นผู้แถลงคดี ปกครอง ตุลาการผู้แถลงคดีจึงไม่ใช่ตุลาการในองค์คณะของตุลาการผู้รับผิดชอบสำนวน ตุลาการผู้แถลงคดีมีหน้าที่ในการเสนอความเห็นในทางกฎหมาย หลังจากที่ได้รับผิดชอบสำนวนจากตุลาการเจ้าของสำนวน โดยตุลาการผู้แถลงคดีจัดทำสรุปข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และความเห็นของตนในการวินิจฉัยคดีนั้นเสนอต่อองค์คณะพิจารณาพิพากษา ทั้งนี้เพื่อเป็นการคานการให้เหตุผลในทางกฎหมายระหว่างองค์คณะกับตุลาการผู้แถลงคดี ตามแนววิธีพิจารณาคดีปกครองของฝรั่งเศสที่เรียกว่า ระบบการพิจารณาคดี 2 ชั้น
6. สภาพข้อบังคับกฎหมาย ในอาญา และทางแพ่งมีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
คำตอบ สภาพข้อบังคับของกฎหมายอาญา โทษทางอาญา เป็นสภาพบังคับหลักทางอาญาที่สามารถใช้ได้กับการกระทำที่เป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายอื่นด้วย ดุลยพินิจในการลงโทษ ที่ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดหนักเบาเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับทฤษฏีซึ่งเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการลงโทษ ซึ่งแยกได้ 2 ทฤษฏี คือ ทฤษฏีเด็ดขาด การลงโทษ คือ การตอบแทนแก้แค้นการกระทำผิด การลงโทษหนักเบาย่อมเป็นไปตามความร้ายแรงของความผิด และทฤษฏีสัมพันธ์ การลงโทษมีประโยชน์คือ เพื่อให้สังคมปลอดภัย โทษจึงทำหน้าที่ห้ามไม่ให้คนกระทำความผิด และในกรณีกระทำความผิดไปแล้ว โทษมีความจำเป็นเพื่อปรับปรุงให้ผู้กระทำความผิดนั้นกลับตัวกลับใจแก้ไขการกระทำผิดที่เคยเกิดขึ้นและสามารถกลับเค้าสู่สังคมอย่างเดิมกฎหมายแพ่ง 1. กฎหมายแพ่ง คือกฎหมายที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก กฎหมายแพ่งที่เกี่ยวกับครอบครัวเป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเองและครอบครัว ดังนี้
ตัวอย่างเช่น การหมั้น เป็นการที่หญิงชายตกลงทำสัญญาว่าจะทำการสมรสกัน การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบทรัพย์อันเป็นของหมั้นให้แก่ฝ่ายหญิง แต่ในการสมรสนั้นไม่ได้บังคับว่าจะมีการหมั้นก่อน แต่ถ้าหมั้นก็จะมีผลผูกพันกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องปฎิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการหมั้น เช่น ของหมั้นจะตกเป็นสิทธิแก่หญิงทันที เมื่อมีการหมั้นแล้ว ไม่ว่าชายหรือหญิงตาย ฝ่ายหญิงก็ไม่ต้องคืนของหมั้นแก่ฝ่ายชาย
7. ระบอบกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย
คำตอบ รูปแบบ แนวความคิดในการบัญญัติกฎหมายมาบังคับใช้ ซึ่งประเทศต่างๆ
8. ประเภทของกฎหมายมีมีกี่ประเภท และหลักการอะไรบ้าง แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้างจงยกตัวอย่าง พร้อมอธิบาย
คำตอบ ประเภทของกฎหมาย ที่จะศึกษาแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. ประเภทแบ่งตามระบบหรือที่มาของกฎหมาย 2. ประเภทแบ่งตามลักษณะการใช้กฎหมาย 3. ประเภทแบ่งตามบทบัญญัติในกฎหมายที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน
1. ระบบลายลักษณ์อักษร ( Civil law System ) ประเทศไทยใช้ระบบนี้เป็นหลัก กระบวนการจัดทำกฎหมายมีขั้นตอนที่เป็นระบบ มีการจดบันทึก มีการกลั่นกรองของฝ่ายนิติบัญญัติคือ รัฐสภา มีการจัดหมวดหมู่กฎหมายของตัวบทและแยกเป็นมาตรา เมื่อผ่านการกลั่นกรองจากรัฐสภาแล้ว จะประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยราชกิจจานุเบกษา กฎหมายลายลักษณ์อักษรนี้ ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
9. ท่านเข้าใจของคำว่าศักดิ์ กฎหมาย คืออะไร มีกรแบ่งอย่างไร
คำตอบ เกณฑ์ที่ใช้กำหนดศักดิ์ของกฎหมายพิจารณาจากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย กล่าวคือ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ออกโดยรัฐสภา และเป็นการใช้อำนาจในการออกกฎหมายร่วมกันของสองสภา คือ วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุด
10. เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์การชุมนุมของประชาชน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และประชาชนได้ประกาศว่า จะมีการประชุมอย่างสงบ แต่ปรากฏว่า รัฐบาลประกาศ เป็นพื้นที่ที่ห้ามชุมชน และขัดขวางไม่ให้ประชาชน ชุมนุมกันอย่างสงบสุข และลงมือทำร้ายร่างกายประชาชน ในฐานะที่ท่านเรียนวิชานี้ ท่านจะ อธิบายบอกเหตุผลว่ารัฐบาล กระทำถูกหรือผิด
คำตอบ การกระทำผิดกฎหมาย เพราะรัฐบาลใช้ความรุนแรงกับประชาชนมากเกินไป ใช้อำนาจ มาขู่ข่มประชาชนไม่ให้สิทธิกับประชาชน เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ประชาชนสามารถเอาผิดกับรัฐบาลได้โดยการยื่นข้อเสนอที่ดีกระทำตนที่ถูกต้องไม่เอาเปรียบประชาชนและยื่นมติข้อกฎบังคับของประชาชนที่ถูกต้องเพื่อความเป็นธรรมแก่ประชาชนของประเทศนั้น ๆ
11 ท่านมีความรู้ความเข้าใจกับกฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
การศึกษาในระบบมีสองระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งจัดไม่น้อยกว่า 12 ปี ก่อนระดับอุดมศึกษา และระดับอุดมศึกษา ซึ่งแบ่งเป็นระดับต่ำกว่าปริญญา และระดับปริญญาให้มีการศึกษาภาคบังคับเก้าปี นับจากอายุย่างเข้าปีที่เจ็ด จนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก หรือเมื่อสอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ
- สำหรับเรื่องสถานศึกษานั้น การศึกษาปฐมวัย และการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้จัดใน
1) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
2) โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนของรัฐ เอกชน และโรงเรียนที่สังกัดสถาบันศาสนา
3) ศูนย์การเรียน ได้แก่ สถานที่เรียนที่หน่วยงานจัดการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กร ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์ และสถาบันสังคมอื่นเป็นผู้จัด
12. ในฐานะที่นักศึกษาเรียนวิชานี้ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษา ท่านคิดว่าเมื่อท่านไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไร
